ณ ปัจจุบัน อัลไซเมอร์เป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด โดยการฝ่อตัวของสมองนั้นมาจากการสะสมของโปรตีน (Tau Protein) ที่ผิดปกติในจำนวนมากจนแปรสภาพเป็นคราบและปม (neurofibrillary tangles) ส่งผลให้เซลล์ประสาทไม่สามารถทำการสื่อสารและเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ได้
อาการที่พบ คือ ปัญหาเรื่องความจำ ซึ่งในระยะแรกจะเป็นเรื่องความทรงจำระยะสั้น (เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่เกิน 5 -10 นาทีก่อนหน้า) และลุกลามไปยังความทรงจำระยะยาว (เรื่องราวในอดีต) ปัญหาในการวางแผนและตัดสินใจ ปัญหาในการสื่อสารสนทนาที่ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถคิดคำศัพท์ที่เหมาะสมได้ ในช่วงสุดท้ายอาจไม่สามารถพูดจาสื่อสารได้ สับสนเรื่องเวลา สถานที่ และผู้คนรอบข้าง ขาดแรงบันดาลใจในการทำกิจกรรมต่างๆ แม้ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ มีปัญหาเรื่องการนอน (หลับไม่สนิท ตื่นบ่อย) ปัญหาในการเดิน เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม บุคลิกภาพ และมีความแปรปรวนทางอารมณ์อย่างสังเกตได้ ทั้งนี้อาการและความรุนแรงของอาการที่เกิดในแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันไป
ความรุนแรงของอัลไซเมอร์แบ่งเป็น 3 ขั้น คือ ขั้นแรกหรือขั้นอาการเบา ขั้นกลาง และขั้นสุดท้ายหรือขั้นแอดวานซ์ ทั้งนี้ในช่วงแรกของการเกิดจะเริ่มที่ขั้นเบา ซึ่งเมื่ออาการมีการทวีความรุนเรงขึ้นเป็นลำดับ ในช่วงแรก-กลาง ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ อาจต้องการความช่วยเหลือเป็นบางส่วน หรือความช่วยเหลือในบางกิจกรรม ผู้ป่วยในช่วงขั้นแอดวานซ์จะต้องพึ่งพาการดูแลในการทำกิจกรรมประจำวัน และเมื่อถึงช่วงสุดท้ายผู้ป่วยจะไม่สามารถดูแลตนเองได้ ระยะเวลาของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 7 – 10 ปี อย่างไรก็ดีจากข้อมูลของ Brain Foundation ระบุว่าภาวะอัลไซเมอร์อาจส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยจำนวนมากในช่วง 5 ปีสุดท้าย ในขณะที่มีผู้ป่วยจำนวนมากสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยภาวะของอัลไซเมอร์นานถึง 20 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความช้า-เร็วในการได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องซึ่งยิ่งเร็ว (early diagnosis) ยิ่งเป็นการดี เพื่อที่จะได้มีการวางแผนและเริ่มการบำบัดและดูแลเพื่อเพิ่มมาตรฐานชีวิตของผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดแม้จะเป็นอัลไซเมอร์
ที่มาของโรค นักวิจัยได้พบว่าสาเหตุของโรคเกิดได้จากหลายปัจจัยผนวกกัน ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม (อัตราการเกิดค่อนข้างต่ำ) ภาวะร่วมของดาวน์ซินโดรม (down syndrome) ที่เสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ก่อนกว่าวัยอันควร (ต่ำกว่า 60 ปี) ภาวะโรคแทรกซ้อนอื่น เช่น ซึมเศร้า มีภาวะความเครียดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โคเลสตอรอลสูง และโรคอ้วน เป็นต้น ร่วมกับไลฟ์สไตล์ที่ขาดการพบปะสังสรรค์ ตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สูบบุหรี่จัด ไม่ค่อยมีกิจกรรมบริหารสมอง ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่สุด คือ อายุ (65 ปีขึ้นไป) ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าทุกคนที่อายุเกิน 65 ปีจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ เพราะมีปัจจัยร่วมหลายประการดังข้างต้นที่ส่งผลต่อการเกิดโรค
การวินิจฉัยจะทำได้โดยการสแกนสมอง เช็คประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทำแบบทดสอบด้านความจำ ตรวจเลือดและปัสสาวะ การตรวจเช็คการเคลื่อนไหวของร่างกาย และการตรวจเช็คด้านจิตและประสาท
ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่ก็มีวิธีการดูแลทั้งการบำบัดด้วยยา เช่น donepezil galantamine และ rivastigmine เพื่อช่วยประวิงอาการทางประสาทในช่วงแรก-ช่วงกลางของการเกิดโรค ตัวยา memantine เป็นตัวยาที่แพทย์อาจใช้ในผู้ป่วยขั้นกลาง-ขั้นแอดวานซ์ในกรณีที่การบำบัดทางอื่นไม่ได้ผล ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีโรคแทรกซ้อนอื่นที่ตัวยาที่ใช้ในแต่ละโรคมีปฎิกิริยาในทางลบต่อกัน แพทย์จะไม่สามารถให้ยาของอัลไซเมอร์ได้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญและความจำเป็นว่าอาการของโรคใดจำเป็นต้องได้รับยาบำบัด นอกจากนั้นการควบคุมเรื่องอาหาร รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ไม่โดดเดี่ยว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เหล่านี้สามารถช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้
การดูแลที่เหมาะสม คือ การได้รับการวินิจฉัยอย่างเร็วที่สุดเพื่อเข้ารับการรักษาและปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เอื้อต่อภาวะที่จะทวีความรุนแรงในแต่ละขั้นได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ผู้ป่วยควรได้รับโอกาสในการได้ดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามปกติมากที่สุด การดูแลที่ดีจากคนรอบข้าง คือ การร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน “แต่” มิใช่ทำให้ เช่น ให้ผู้ป่วยได้ดูแลตนเองมากที่สุด แต่งตัวเอง เลือกสิ่งที่ต้องการจะทำ จะรับประทานด้วยตนเอง (แต่ควรลดตัวเลือกให้เพียง 2-3 ตัวเลือกเพื่อเลี่ยงการเกิดความสับสน) ช่วยผู้ป่วยตัดสินใจเลือก “แต่” ไม่ตัดสินใจแทน ผู้ป่วยในขั้นแรกจะมีอาการที่ค่อนข้างปกติมากที่สุด ฉะนั้นในช่วงนี้ควรให้ผู้ป่วยได้ดูแลตนเองมากที่สุด การดูแลโดยการช่วยเหลือ ให้ความเข้าใจ ใส่ใจ และร่วมทำกิจกรรมเกื้อหนุนกัน จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี การจดบันทึกประจำวัน ทำลิสต์กิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวัน จะช่วยผู้ป่วยทั้งในเรื่องความคิด การตัดสินใจ และความมั่นใจในการดูแลตนเอง และยังช่วยครอบครัวและผู้ดูแลได้ทำหน้าที่การดูแลได้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)