ภาวะสมองเสื่อมที่เป็นผลมาจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบให้กลไกการทำงานของสมองผิดปกติ ในหลายกรณีเป็นผลต่อเนื่องมาจากโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะสมองขาดเลือด (stroke) นอกจากนั้นยังเป็นผลต่อเนื่องจากโรคแทรกซ้อนอื่นที่ส่งผลกระทบต่อการส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เช่น โรคความดันสูง โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน มากไปกว่านั้นภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมองนี้ยังสามารถเกิดขึ้นร่วมกับอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่นๆ ทำให้ยากที่จะทำการวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง
อาการที่พบ คือ ขาดสมาธิและมีปัญหาในการวางแผนและตัดสินใจ มีกระบวนการคิดที่ช้าลงอย่างสังเกตได้ อีกทั้งยังมีปัญหาในการทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ รอบตัว มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม ในช่วงแรกของโรคจะไม่กระทบปัญหาเรื่องความจำสักเท่าใดนัก แต่จะมีปัญหาเรื่องความทรงจำระยะสั้นเมื่อโรคทวีความรุนแรงมากขึ้น ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะสมองเสื่อมหลังจากเกิดภาวะสมองขาดเลือด ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในเรื่องการมองและการพูด นอกจากนั้นยังพบโรคสมองเสื่อมประเภทนี้ในประชากรในแถบเอเชียใต้และแอฟริกา-คาริบเบียนมากกว่าแถบอื่นในโลก เนื่องมาจากประชากรในแถบนี้มีความเสี่ยงของการเกิดโรคระบบหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานค่อนข้างสูง
โรคแทรกซ้อนต่อไปนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมอง:
- โรคความดันสูง
- ภาวะคอเลสเตอรอลสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
- โรคหัวใจ
- โรคหลอดเลือดต่างๆ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- การสูบบุหรี่จัดติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- ไม่ออกกำลังกายและมีโภชนการที่ไม่ดี
ความรุนแรงของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะแรก - อาการไม่ค่อยรุนแรง แต่เกิดการติดขัดในการทำกิจกรรมประจำวันต่างๆ ระยะแรกอาจเกิดขึ้นราวไม่กี่เดือนหรือแค่ไม่กี่ปี
ระยะกลาง – เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากในแง่ของอารมณ์ พฤติกรรมและบุคลิกภาพ เกิดปัญหาเรื่องความจำ หลงลืม เกิดปัญหาด้านการสื่อสาร การพูดคุย วาจา เกิดความสับสน แปลกที่แปลกทาง อาการรุนแรงมักจะเป็นในช่วงพลบค่ำ
ระยะสุดท้าย – เกิดปัญหาในการดูแลตนเองในทุกด้าน ต้องได้รับความช่วยเหลือทั้งการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การเคลื่อนไหว การเดิน ปัญหาสุขอนามัย การเข้าห้องน้ำ และการสื่อสาร
ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประเภทนี้จะเข้าสู่ระยะต่างๆ ในอัตราที่ต่างกันไป ขึ้นไปสภาวะแวดล้อมและความรุนแรงของโรคแทรกซ้อน โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาภาวะสมองขาดเลือดฉับพลัน ความเสี่ยงระดับความรุนแรงจากระยะแรกไประยะสุดท้ายทันทีมีค่อนข้างสูง
การวินิจฉัยจะทำได้โดยการทดสอบหลายวิธีการเพื่อดูผลองค์รวม การทดสอบจะมีทั้งการทำการทดสอบกระบวนการคิดและพฤติกรรม การตรวจเลือด ตรวจ MRI อัลตราซาวนด์ดูความเสียหายหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ (carotid arteries) ทดสอบการตอบรับของเส้นประสาทและการขยับร่างกาย ทดสอบความจำ และตรวจเช็คประวัติสุขภาพ
การดูแลที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นภาวะสมองเสื่อมที่เกี่ยวเนื่องกับโรคหลอดเลือดสมองเป็นหลัก แพทย์อาจจะจัดยาที่เกี่ยวกับการดูแลและลดภาวะเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองขาดเลือด ยาลดระดับคอเลสเตอรอล ยาความดัน ยาควบคุมเบาหวาน และยาสำหรับโรคหัวใจ เนื่องจากโรคแทรกซ้อนเหล่านี้มักพบร่วมกับผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนั้นแพทย์ออาจจะจัดยาเพื่อลกการอุดตันในหลอดเลือด ยาที่ใช้สำหรับโรคอัลไซเมอร์อาจนำมาใช้ร่วมในการดูแลปัญหาเรื่องความจำ พฤติกรรม และกระบวนการคิด การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การเลิกบุหรี่ จัดระบบการนอนให้เพียงพอ ทำกิจกรรมฝึกสมอง (อ่านหนังสือ เล่นหมากรุก เล่มเกมฝึกสมอง) ลดภาวะการเกิดความเครียดสะสม จะช่วยในเรื่องการลดภาวะสมองขาดเลือดหรือปัญหาเลือดออกในสมอง มากไปกว่านั้นการลดหรืองดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและแคลอรี่สูง (ไส้กรอก เบคอน เนย เค้ก ชีส บิสกิต ขนมอบ พายต่างๆ) อาหารแปรรูป (อาหารกระป่อง อาหารสำเร็จรูป แฮม น้ำหวานต่างๆ) และเครื่องดื่มแอลกอฮลล์ รวมไปถึงการควบคุมน้ำหนักและสัดส่วนให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสม (เช่น เอว เพศหญิงไม่เกิน 31 นิ้ว เพศชายไม่เกิน 37 นิ้ว) จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคและโรคแทรกซ้อน
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)