ภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดี้ แบ่งเป็น สมองเสื่อมลิววี บอดี้ และสมองเสื่อมพาร์กินสัน โดยทั้งสองประเภทส่งผลกระทบต่อกระบวนการคิดและการสั่งการเคลื่อนไหวของร่างกาย เกิดอาการประสาทหลอน มีอาการตื่นตัวที่ไม่คงที่ เช่น ผู้ป่วยอาจแสดงอาการตื่นตัวแบบไร้สาเหตุและปรับเปลี่ยนเป็นเฉื่อยชา เหม่อลอยในระยะเวลาติดๆ กัน นอกจากนั้นยังอาจเกิดปัญหาในการนอนหลับที่รวมถึงหลับยาก ไม่หลับ ตื่นง่าย นอนไม่เต็มอิ่ม ก่อให้เกิดความเหนื่อยล้า ภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดี้ นอกจากจะส่งผลต่อปัญหาการคิด การเคลื่อนไหวร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและอุปนิสัยอีกด้วย
ภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดี้ เกิดจากการสะสมและก่อตัวที่ผิดปกติของโปรตีนในสมองที่ชื่อว่า “อัลฟา-ซินุคลิน” (alpha-synuclein) ซึ่งปมโปรตีนที่ผิดปกตินี้ คือ ลิววี บอดี้ โดยปมโปรตีนตัวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายส่วนของสมอง แต่มักพบในเปลือกสมอง (brain’s cortex or outer layer) โดยจะมีจุดเด่นการเกิดในส่วนสมองกลีบขมับ (temporal) สมองกลีบข้าง (parietal) และสมองส่วนหน้า (frontal) ซึ่งบริเวณสมองเหล่านี้ควบคุมการคิด การขยับร่างกายรวมถึงการเดิน การกะระยะพื้นผิว ควบคุมการนอนหลับและการตื่นตัว
อาการที่พบมีดังต่อไปนี้:
มีอาการหลอน เห็นภาพหลอน เช่น เห็นคนปีนกำแพงบ้านมากมายทั้งๆ ที่ไม่มีคนอยู่ตรงนั้น
มีอาการทางประสาทจิตหลงผิด เช่น คิดว่าคนในบ้านเป็นคนอื่น
มีปัญหาในการนอน ภาวะการนอนที่ผิดปกติ (REM-Rapid Eye Movement) ซึ่งผู้ป่วยจะแสดงอาการขยับร่างกาย เตะลม ชกลม นอนดิ้น กระโดดขึ้น-ลงเตียง หัวเราะ ร้องไห้ พูดคุย สบถ ในขณะที่นอนหลับ
มีอาการเหนื่อยล้าและรู้สึกว่านอนไม่เพียงพอตลอดเวลา แม้ว่าจะนอนมากกว่า 15 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากนอนตลอดเวลา
มีอาการตื่นตัวเป็นพักๆ สลับเหนื่อยล้า
มีปัญหาในการเดิน มีการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้ากว่าปกติ
มีอาการสั่น มีอาการเดินติดขัด เดินลากเท้าถี่ๆ (ดังที่พบในผู้ป่วยพาร์กินสัน) อาการสั่นมักเกิดที่มือ
มีปัญหาการทรงตัวและเสี่ยงต่อการล้ม
มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย (ทั้งเบาและหนัก)
มีปัญหาในการกลืนอาหาร
อาจมีปัญหาเรื่องความดันโลหิต มึนหัว วิงเวียน และปัญหาอัตราการเต้นของหัวใจไม่ปกติ
อาจมีปัญหาหนาวง่าย ร้อนง่าย เหงื่อออกมากกว่าปกติ
มีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น เมื่อไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่สามารถปรับตัวได้
มีปัญหาเรื่องสมาธิ การจดจ่อกับกิจกรรมที่ทำ ไม่สามารถทำกิจกรรมได้มากกว่าหนึ่งอย่างในแต่ละครั้ง เช่น ไม่สามารถสลับหั่นผักและคนหม้อแกงในเวลาเดียวกัน (หันไป-หันมา)
มีปัญหาในการอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดัง
มีปัญหาในการตัดสินใจและการไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล
มีปัญหาในการวางแผนและทำกิจกรรมการดูแลตนเองประจำวัน
มีความเชื่องช้าในการโต้ตอบบทสนทนา
มีปัญหาในการกะระยะพื้นผิว เช่น มองไม่เห็นพื้นไล่ระดับ ก้าวขาขึ้นบันไดพลาด หรือจิ้มอาหารในจานไม่ได้
ทั้งนี้ปัญหาเรื่องความจำจะส่งกระทบต่อผู้ป่วยลิววี บอดี้น้อยกว่าภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่น อย่างไรก็ดีผู้ป่วยลิววี บอดี้ จะเกิดภาวะความเครียด กังวล ซึมเศร้า ตื่นกลัว ประสาทหลอน และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมค่อนข้างสูงและบ่อย อาการประสาทหลอนที่พบในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประเภทนี้ คือ การคิดว่าเพื่อนหรือคนในครอบครัวถูกจับตัวไปและคนที่อยู่ด้วยเป็นคนที่ปลอมตัวเข้ามา (Capgras syndrome) นอกจากนั้นผู้ป่วยยังมีการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตและอุณหภูมิร่างกาย และปัญหาการดมกลิ่น
การวินิจฉัยว่าเป็นลิววี บอดี้หรือพาร์กินสัน จะใช้กฎ 1 ปีที่อาการใดเกิดก่อน ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาด้านการคิดในช่วงเวลาใกล้เคียงหรืออย่างน้อย 1 ปี ก่อนจะเกิดปัญหาด้านการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมลิววี บอดี้ ในทางกลับกันหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการสั่นและปัญหาการเคลื่อนไหวร่างกายก่อนหน้าเป็นระยะเวลา 1 ปีก่อนจะเกิดปัญหาเรื่องการคิด ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมพาร์กินสัน
ข้อสังเกตของอาการพาร์กินสันในช่วงแรก
อาการสั่นที่มักจะเป็นที่มือ จะเกิดขึ้นแม้ในขณะที่พักผ่อน
กล้ามเนื้อมีอาการเกร็ง ติดขัด ก่อให้เกิดความเมื่อยล้า
การเคลื่อนไหวร่างกายที่เชื่องช้า
มีปัญหาการทรงตัว
ทั้งนี้อาการข้างต้นมักจะเกิดที่ร่างกายเพียงซีกเดียวก่อนที่จะค่อยๆ กระจายไปยังร่างกายอีกซีก ข้อแตกต่างของอาการพาร์กินสันในผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดี้ มีดังนี้
อาการสั่นที่เกิดน้อยหรือมีความถี่น้อยกว่าพาร์กินสัน
อาการเกร็ง มักเกิดขึ้นมากที่บริเวณลำตัว
ปัญหาการทรงตัวที่เกิดขึ้นไว
อาการลุกลามได้ไวไปทั่วร่างกายทั้งสองซีกมากกว่าพาร์กินสันที่ลุกลามช้ากว่า
***ข้อพึงตระหนัก ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดี้อาจจะไม่มีอาการของพาร์กินสัน ด้วยเหตุนี้การได้รับการวินิจฉัยประเภทของภาวะสมองเสื่อมลิววี บอดีที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ
การวินิจฉัยอาจทำได้ยากเพราะอาการคาบเกี่ยวกับหลายโรค ทั้งนี้สามารถทำได้โดยผ่านขั้นตอนต่อไปนี้ผนวกกัน
การตรวจเลือด
การตรวจ MRI สมอง
การทดสอบทักษะการคิดและพฤติกรรม
การตรวจร่างกายโดยรวม
การตรวจประวัติสุขภาพ
การดูแลที่เหมาะสม แพทย์อาจจัดยาลดความเครียด และยาที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ การขับ-ถ่าย หรือยาใดๆ ที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคแทรกซ้อนนั้นๆ ทั้งนี้ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมประเภทนี้จะมีอาการข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ยาระงับอาการทางจิต (antipsychotic) ฉะนั้นในกรณีฉุกเฉินที่ต้องไปโรงพยาบาลด้วยเหตุใดก็ตาม ควรแจ้งข้อมูลนี้ต่อเจ้าหน้าที่พยาบาลก่อนการเข้ารับการรักษาเหตุปัจจุบันทันด่วนนั้นๆ
การดูแลจากครอบครัวและคนรอบข้าง คือ การทำความเข้าใจรายละเอียดของโรคและให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมประจำวัน การได้พูดคุยและติดต่อสื่อสารกับสังคมอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยบำบัดความเครียดและส่งเสริมการมีสุขภาพจิตที่ดีแก่ผู้ป่วยและครอบครัว นอกจากนั้นการจัดบ้านใหม่ให้มีสิ่งกีดขวางให้น้อยที่สุด จัดทางเดินให้โล่ง ติดจับราวเกาะบริเวณบันได ห้องน้ำ ทางเดิน จัดหาอุปกรณ์ช่วยเดิน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือผู้ป่วยสมองเสื่อมประเภทนี้ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ข้อสังเกตของสมองเสื่อมประเภทนี้ คือ อาการหลงลืม ความจำเสื่อม และทักษะการแก้ปัญหา อาจไม่ปรากฏในอาการช่วงแรก ส่งผลให้การได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องในช่วงที่เริ่มเกิดอาการของโรคทำได้ยาก
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)