อายุ – มักเกิดในผู้ที่มีอายุสูงกว่า 65 ปีขึ้นไป ทั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย แต่อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมมากกว่าช่วงอายุที่น้อยกว่า
พันธุกรรม – โดยเฉพาะในกรณีของอัลไซเมอร์ ยีนส์อะโปอี 4 (APOE 4)
เผ่าพันธุ์/ชาติพันธุ์ – จากการศึกษาและวิจัย ค้นพบว่าเผ่าพันธุ์ของชาวแอฟฟริกัน-คาริบเบียน (Afro-Caribbean) หรือชาวคาริบเบียนที่สืบเผ่าพันธุ์มาจากชาวแอฟฟริกัน หรือประเทศหมู่เกาะหรือติดทะเลคาริบเบียน เช่น คิวบา (Cuba) เบลิซ (Belize) บาฮามาส์ (The Bahamas) และจาไมก้า (Jamaica) เป็นต้น และชาวเอเชียใต้ (South Asia) ที่จะเป็นประเทศในแถบอินเดีย (India) ปากีสถาน (Pakistan) ภูฎาน (Bhutan) บังคลาเทศ (Bangladesh) มัลดีฟส์ (Maldives) อัฟานิสถาน (Afghanistan) และศรีลังกา (Sri Lanka) เป็นต้น ทั้งนี้มีข้อสันนิษฐานว่าปัญหาสุขอนามัย ระดับการศึกษาที่ค่อนข้างต่ำ และการไม่สามารถเข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ของโรคที่เพิ่มภาวะเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด (cardiometabolic) เบาหวาน (diabetics) และโรคอ้วน (obesity) ส่งผลต่อความเสี่ยงสูงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมในประชากรของประเทศในแถบเหล่านี้
ระดับการศึกษา – ระดับการศึกษาที่สูงขึ้น (ไม่ต่ำกว่าม. 6) ช่วยในการลดการเกิดภาวะสมองเสื่อม เพราะผู้ที่มีการศึกษาที่สูงขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลการดูแล การป้องกัน รวมไปถึงข้อมูลการเข้าถึงแพทย์ได้ทันเวลามากกว่าผู้ที่มีการศึกษาที่ต่ำกว่า นอกจากนั้นยังมีการวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าการศึกษาในช่วง 10 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ทั้งนี้การศึกษาในช่วงอายุที่มากขึ้น ก็มีประโยชน์ในการช่วยลดในการชะลอการเกิดภาวะสมองเสื่อมโดยให้สมองยังคงสมรรถภาพในการทำงานได้นานที่สุด (cognitive reserve)
ความดันโลหิตสูง – การเกิดภาวะความดันโลหิตสูงในช่วงวัยกลางคน (ราว 40 ปี) ส่งผลต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น
การเกิดโรคเบาหวานและโรคอ้วน - ส่งผลทั้งต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในภายหลัง
ไม่ออกกำลังกาย ภาวะติดโซฟา - การใช้ชีวิตนั่งๆ นอนๆ ติดหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอทีวี และขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทำกิจกรรมที่ช่วยให้ร่างกายได้แอคทีพ เช่น ทำงานบ้าน เดิน และทำสวน เป็นต้น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตหน้าจอเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมในภายหลัง
บุหรี่ – สารพิษจากบุหรี่เมื่อเข้าไปสู่ปอดจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดโรคระบบหลอดเลือดที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมมากกว่าคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่และคนที่ไม่ได้รับควันบุหรี่
โรคซึมเศร้า (Depression) – อาการของโรคซึมเศร้าส่งผลต่อการเกิดปัญหานอนไม่หลับ เบื่ออาหาร และขาดแรงบันดาลใจในการลงมือทำกิจกรรมใดๆ และพบปะผู้คน โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ (ประเภทของภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุด)
แอลกอฮอลล์ – การดื่มสุรามากเกินกว่าปกติ หรือเกินจากคำแนะนำการดื่มที่เหมาะสม เป็นระยะเวลาติดต่อกันหลายๆ ปี ส่งผลต่อการเกิดปัญหาความจำเสื่อม และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม
มลพิษทางอากาศ – จากการวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าการสูดควันพิษ PM 2.5 นอกจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคภาวะทางการหายใจแล้ว ยังส่งผลต่อการเกิดภาวะความจำเสื่อมและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรง คือ การสะสมของสารพิษในร่างกายเป็นระยะเวลานาน ทางอ้อม คือ เมื่อเลี่ยงจะไปสูดควันพิษนอกอาคาร ก็ขาดการได้รับออกซิเจนตามธรรมชาติที่เหมาะสม ขาดการทำกิจกรรมออกกำลังกายกลางแจ้ง ส่งเสริมการใช้ชีวิตหน้าจอ ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมอีกอย่างหนึ่ง
ภาวะการบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury – TBI) - เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมในภายหลัง เนื่องกะโหลกได้เกิดรอยร้าวและสมองได้รับความกระทบกระเทือนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นการขับขี่จักรยาน จักรยานยนต์ รวมไปถึงการเล่นกีฬา และกิจกรรมใดๆ ที่ศีรษะมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ควรจะใส่หมวกอุปกรณ์ป้องกัน
อาหารการกิน (Diet) – การรับประทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์บ่อยๆ สะสมเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวาน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมตามมา ทั้งนี้หมวดหมู่อาหารแนะนำว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย บำรุงสมอง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น
- ผักใบเขียว
- ผักต่างสีอื่นๆ
- ถั่วต่างๆ (beans and nuts) และธัญพืช (legume and whole grains)
- ปลา
- ไก่
- น้ำมันมะกอก
- เบอรี่ประเภทต่างๆ
ปัญหาการไม่ได้ยินในช่วงวัยกลางคน - การสูญเสียการได้ยินในช่วงวัยกลางคน เพิ่มความเครียดให้กระบวนการคิดในการทำความเข้าใจ การตีความสารจากช่องทางอื่นๆ จนเกิดภาวะการใช้งานกระบวนการคิดที่มากเกินไป (cognitive overload) ซึ่งปัจจัยความเสี่ยงการเกิดภาวะสมองเสื่อมจากปัญหาการสูญเสียการได้ยินในช่วงวัยกลางคนนี้ นับเป็นความเสี่ยงตัวใหม่ที่นักวิจัยได้ศึกษาการเกี่ยวโยงและค้นพบความเสี่ยง ฉะนั้นการเข้ารับการตรวจเช็คการได้ยินเมื่อพบว่าระดับการได้ยินมีความผิดปกติแต่เนิ่นๆ เป็นที่สิ่งที่ควรกระทำ
การแยกตัวจากสังคม (Social isolation) - การแยกตัวออกจากสังคม การไม่พบปะสังสรรค์กับผู้คน ส่งผลต่อการเกิดโรคซึมเศร้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)