จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี ค. ศ. 2023 มีจำนวนผู้ป่วยด้วยภาวะสมองเสื่อมมากกว่า 55 ล้านคนทั่วโลก โดยมากกว่า 60% เกิดในกลุ่มประชากรประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรวมถึงประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการคาดคะเนว่าจำนวนผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมจะเพิ่มขึ้นราว 10 ล้านคนในทุกๆ ปี ที่น่าสนใจคือ เพศหญิงจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมากกว่าเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมเองหรือเป็นผู้ดูแลผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) จัดเป็นกลุ่มอาการความบกพร่องทางกระบวนการคิดและตัดสินใจ อันเป็นผลมาจากการความเสียหายของเซลล์ประสาทที่ส่งผลกระทบไปยังสมองส่วนต่างๆ ก่อให้เกิดภาวะความจำเสื่อม หลงลืม มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ขาดความสามารถในการคิดและตัดสินใจ เกิดความผิดปกติในการมองและการกะระยะพื้นผิวและความลึก-ตื้นในภาวะสมองเสื่อมบางประเภท นอกจากนั้นยังส่งผลต่อการได้ยิน รวมไปถึงความสามารถในการสื่อสารใช้ภาษา (การพูด) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในภาวะสมองเสื่อมในบางประเภทจะขาดความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอย่างหมดสิ้น ในขณะที่ภาวะสมองเสื่อมบางประเภทจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้กล้ามเนื้อมากกว่าส่งผลกระทบทางกระบวนการคิดและตัดสินใจ อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายของภาวะสมองเสื่อม ผู้ป่วยจะมีความบกพร่องทั้งในกระบวนการคิดและตัดสินใจ รวมไปถึงการขยับร่างกาย การเดิน และการใช้กล้ามเนื้อ ทั้งนี้ความรุนแรงขึ้นอยู่กับโรคแทรกซ้อนและเงื่อนไขทางสุขภาพอื่นๆ ของแต่ละบุคคล สาเหตุการเสียชีวิตของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมโดยส่วนใหญ่แล้วมาจากโรคแทรกซ้อนและอุบัติเหตุ (ล้มและการติดเชื้อ) มากกว่าเสียชีวิตด้วยภาวะสมองเสื่อม กรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะสมองเสื่อมมากกว่า 2 ประเภท สามารถเกิดขึ้นได้
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา แต่มีวิธีการดูแลและบำบัดเพื่อชะลอความรุนแรงของภาวะสมองเสื่อม การดูแลและบำบัดจะมีวิธีทั้งการใช้ยา (pharmacological therapy and interventions) และการใช้จิตวิทยา และทางเลือกที่ไม่ใช้ยา (non-pharmacological therapy and interventions) โดยจะใช้ทั้ง 2 แบบควบคู่กันตามความเหมาะสมตลอดเส้นทางการโคจรของโรค (trajectory of the disease)
ภาวะสมองเสื่อมต่างจากการหลงลืมตามอายุ (cognitive decline/ mild cognitive decline – MCI) และมิใช่โรคคนแก่ แต่เป็นอาการผิดปกติทางสมอง
ยังไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่มีวิธีการดูแลที่จะช่วยชะลอความรุนแรงของภาวะสมองเสื่อม
ปัจจัยเสี่ยงที่สุดของการเกิดภาวะสมองเสื่อม คือ อายุขัย โดยทั่วไปคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปล้วนมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยปัจจัยในการดำรงชีวิต ปัจจัยโรคหลอดเลือดต่างก็มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกับปัจจัยทางพันธุกรรม
ภาวะสมองเสื่อมสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดกับคนที่มีอายุ 65 ขึ้นไปดังข้อข้างต้น จากการวิจัยที่พบ เคสอายุน้อยที่สุดที่เกิดภาวะสมองเสื่อม คือ 14 ปี
ผลกระทบและอาการที่เกิดจากภาวะสมองเสื่อมจะต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยรวมภาวะสมองเสื่อมจะส่งผลกระทบต่อกระบวนคิดและตัดสินใจ ความจำ อารมณ์ และพฤติกรรม อีกทั้งยังมีผลกระทบไปยังคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัวและคนที่ให้การดูแลผู้มีสภาวะสมองเสื่อม
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)
Resources:
Dementia Australia (https://www.dementia.org.au/about-dementia/different-types-dementia)
Australian Government Department of Health and Aged Care (https://www.health.gov.au/topics/dementia/about-dementia)
Alzheimer’s Association (https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia/types-of-dementia)
Brain Foundation (https://brainfoundation.org.au/disorders/dementia-non-alzheimer-type/?gad_source=1&gclid=EAIaIQobChMIve6ens3digMVk6lmAh1cThxvEAMYASAAEgJiRfD_BwE)
Dementia UK (https://www.dementiauk.org/information-and-support/types-of-dementia/)